เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๙ ธ.ค. ๒๕๖๑

เทศน์เช้า วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๑

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ เรามาวัดมาวากันมาเพราะเรามาฟังสัจธรรม สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ฝากศาสนาไว้กับเรา ฝากศาสนาไว้กับเราๆ ฝากไว้ ฝากไว้เฉยๆ แต่ของเรา เราจะรื้อค้น เราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะค้นคว้าขึ้นมาให้เป็นสัจจะความจริงในใจของเรา

ธรรมโอสถๆ รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง เราปรารถนาความสุขๆ กัน ความสุขเราปรารถนาเอาที่ไหน ปรารถนาความสุข ความสุขโดยกิเลสมันป้อนให้ ความสุขมันมีความปรารถนาแล้วอยากได้ อยากได้สิ่งใด อยากได้สิ่งใดแล้วได้สนองมาแล้วมันก็มีความสุข แต่ชั่วคราว แป๊บเดียว แล้วก็อยากได้ใหม่ต่อไป อยากได้ใหม่ต่อไปไง

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ธรรมโอสถๆ ธรรมโอสเราเจ็บไข้ได้ป่วย เราหายารักษาเรา เจ็บไข้ได้ป่วยเราไปหาหมอของเรา นี่ก็เหมือนกัน ธรรมโอสถรักษาหัวใจของเรา มีครูบาอาจารย์เป็นเครื่องยืนยัน

มียืนยัน ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านฉันมื้อเดียว ท่านอยู่ได้ทั้งชีวิต ครูบาอาจารย์เราบวชมาตั้งแต่เป็นเณรจนหมดสิ้นอายุขัยไป ท่านมีความสุขได้อย่างไร ความสุขมาจากไหน ความสุขเพราะท่านดูแลหัวใจของท่านไง ดูแลหัวใจของท่าน รักษาหัวใจของท่านด้วยธรรมโอสถ ด้วยสัจธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาไง

ของเรา เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธสาสนา เราเป็นชาวพุทธ เรามาวัดมาวากัน เรามาทำบุญกุศลของเรา เรามาทำบุญกุศลของเราก็เพื่อบุญกุศลของเรา บุญกุศลของเรา เห็นไหม

เรามีลูกมีหลานนะ ถ้าลูกมันคิดดีมาตั้งแต่ต้น มันเป็นบุญกุศลนะ มันเป็นพันธุกรรมของจิตๆ ดูสิ ชาวไร่ชาวสวน ใครปลูกทุเรียน ใครปลูกเงาะ ใครปลูกพืชพันธุ์สิ่งใดเขาก็ได้สิ่งนั้น ในหัวใจของเราๆ พันธุกรรมของจิต พันธุกรรมที่มันดีงามไง พันธุกรรมที่มันดีงาม มันดีงามมาตั้งแต่ต้นไง พันธุกรรมที่เลวร้าย เลวร้ายเกิดมามันตีพ่อตีแม่มันตลอด มันตีโพยตีพายในบ้านมันตลอด นี่มันเกิดมาจากไหนล่ะ มันเกิดมาจากเราสร้างบุญกุศลของเรา ทำคุณงามความดีของเรา

พอเราทำคุณงามความดีของเรา พันธุกรรมของจิตมันตัดแต่งของมันไป คิดดีๆๆ ดีจนเป็นจริตนิสัย คิดร้ายๆๆ คิดร้ายจนเป็นจริตนิสัย เวลามาเกิดกับเรา มาเป็นลูกเป็นหลานเรา เราก็ฝึกฝนดูแลพยายามสั่งสอนของเราไป

นี่ไง แต่มันเป็นเรื่องยาก มันเป็นเรื่องยาก ทางวิทยาศาสตร์ ทางจิตวิทยา เด็กตั้งแต่อายุสามขวบไป เราต้องเลี้ยงดูให้ดีงาม ให้ดีงามเพราะนี่มันจะซึมซับ มันจะซึมซับของมันไป นี่พูดถึงเป็นจิตวิทยานะ

แต่จริงๆ แล้วมันพันธุกรรมของจิต เป็นเวรเป็นกรรมที่มันสร้างของมันมา ทั้งชีวิตนะ เราต้องบ่มต้องเพาะต้องดูต้องแล สภาพแวดล้อมที่ดี พ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกหลานมันเป็นคนดี ลูกหลานเป็นคนดี นี่วิทยาศาสตร์คิดได้แค่นั้นไง

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแทรกเข้าไปในจิต แทรกเข้าไปในปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตที่ดีงามอันนั้น ถ้าปฏิสนธิจิตที่ดีงาม เราฝึกฝนอันนี้ไง

เวลาทำบุญกุศลที่สูงส่งที่สุดคือการนั่งภาวนา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นี่สูงสุด เพราะอะไร เพราะมันฝึกหัดจิตของตัวเองไง จิตพุทธะ พุทธะในหัวใจของเราที่มันดีดมันดิ้นไง แล้วก็มาพร่ำเพ้อ “อู๋ย เกิดมาไม่มีวาสนา เกิดมาเป็นคนทุกข์คนจน เกิดมาเป็นคนยากไร้”

อ้าว! เกิดก็เกิด เกิดเป็นคนเหมือนกัน มันจะไปทุกข์ร้อนอะไร เกิดมาอาการ ๓๒ เหมือนกัน คนเหมือนกัน แต่อำนาจวาสนาความรู้สึกนึกคิดมันแตกต่างกันไง คนเหมือนคน แต่อำนาจวาสนามันไม่เหมือนกันไง เรามาวัดมาวา เรามาเตือนตัวเราอย่างนี้ เรามาเตือนตัวเราเอง ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ไง

เวลาฟังธรรมๆ ประเพณีวัฒนธรรม เวลาไปวัดไปวานะ เวลาพระเทศน์นะ โอ้โฮ! นั่งพนมมือกันสัปหงกเลยนะ พอพระสาธุ อู้ฮู! บุญเยอะมาก นี่ไง ความบุญเยอะมากมันอย่างนี้

บุญเยอะมากคือว่า การฟังธรรมๆ แสนยาก ฟังธรรมแสนยากเพราะอะไร เพราะสมัยพุทธกาลมันไม่มีการสื่อสาร เวลาจะฟังธรรมก็ต้องขวนขวายไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปหาครูบาอาจารย์ที่เป็นอาจารย์ของเรา เพราะเราไว้ใจ เราลงใจท่าน นี่ไง มันถึงแสนยาก

แล้วเวลาแสดงธรรมออกมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ นะ เป็นธรรมมันไม่ติดข้องเรา

หลวงตาท่านสอนประจำ ถ้าไม่ติดเรานะ คนอื่นศิโรราบ เราไม่ติดหมดเลย ถ้าเราติดเรา ติดเราไง เฮ้ย! พูดไปเขาจะพอใจหรือไม่ พูดไปแล้วมันจะดีหรือไม่ พูดไปแล้วมันติดเราก่อนไง ถ้ามันติดเรา มันมีผลประโยชน์ทับซ้อนไง

แต่ถ้ามันไม่มี ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นสัจธรรม ธรรมะเหมือนแสงสว่าง มันกระจายไปทั่วจักรวาล เพียงแต่ว่าคนจะเปิดหน้าต่างหรือเปล่า ถ้าเปิดมันก็เข้าทางหน้าต่าง ถ้าคนเปิดประตูมันก็เข้าทางประตู แต่พระกรรมฐาน อัพโภกาสิกังคะ อยู่เรือนว่าง เข้าได้หมดเลย อยู่เรือนว่าง แสงนี้ไปได้หมดเลย เห็นไหม

ฟังธรรมนี้แสนยาก ฟังธรรมนี้แสนยากไง การฟังธรรมแสนยาก ฟังธรรมมาเพื่อให้มันฉลาดไง เพราะอะไร เพราะพระก็มาจากคนนั่นแหละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ มีนางพิมพาเป็นพระมเหสี มีลูกเป็นสามเณรราหุล นี่ไง ก็มาจากฆราวาสนี่แหละ มาจากที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้กับบริษัท ๔ นี่แหละ

แต่เวลาฝึกฝนขึ้นมาแล้ว ฝึกฝนขึ้นมาแล้ว ฝึกฝนขึ้นมาแล้วเป็นจริงขึ้นมาไง ถ้าฝึกฝนให้มันเป็นจริงขึ้นมา โดยธรรมชาติขึ้นมา ภพชาติมีหรือเปล่า นรกสวรรค์มีหรือเปล่า

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหรือเปล่า พรหมนี่มาฟังเทศน์เลย ฟังเทศน์เพราะอะไร ฟังเทศน์ เหมือนคนป่วยไง เวลาคนป่วยเราไปโรงพยาบาลใช่ไหม ไอ้นี่เราสงสัยก็ไปหาอาจารย์ใช่ไหม เวลามาฟังเทศน์ ฟังเทศน์ก็ต้องการสัจธรรมไง ต้องการอริยสัจไง ต้องการความจริงไง ต้องการผู้ชี้นำไง ชี้นำที่ไหน ชี้นำเข้าในใจของผู้ฟังนั่นแหละ

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมด ปฏิเสธรูปเคารพ ปฏิเสธลัทธิต่างๆ เพราะอะไร เพราะพุทธมามกะต้องถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว เป็นพระโสดาบันนี่จบเลย พระโสดาบันไม่มีทางแตกแยกไปทางใดทั้งสิ้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปนับถือลัทธิศาสนาอื่น เพราะมันไม่ใช่ทาง อย่างเรา เราแสวงหาทางของเรา เราหาความถูกต้องของเรา หลงทางไป โอ้โฮ! ไปถามว่า “กรุงเทพฯ ไปทางไหน กรุงเทพฯ ไปทางไหน” เวลาหลงทาง

นี่ก็เหมือนกัน จิตของเราถ้ามันหลงทาง มันมืดบอด มันไม่มีทางไปไง แล้วพอเป็นพระโสดาบันพาดกระแส เข้าสู่กระแส ทางตรงเข้าไปสู่นิพพาน มันจะไปไหน เห็นทางอยู่นั่นชัดๆ แล้วมันจะไปไหน

ไอ้นี่ปลิ้นปล้อน เร่ร่อนไป โอ๋ย! มีคุณธรรม มันติดตัวเองไง ติดตัวเองหมายความว่าทำสิ่งใดแล้วก็เพราะสนองกิเลสของตนนั่นน่ะ สนองความล้อมหน้าล้อมหลังของตนน่ะ หลวงปู่มั่นท่านไปไหนท่านไม่สนใจใครเลย สนใจแต่ว่าถูกหรือผิดกับธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น

หลวงตาเวลาท่านไปไหน โดยนิสัยท่านไปคนเดียวทั้งนั้นน่ะ แต่เพราะโครงการช่วยชาติฯ โครงการช่วยชาติฯ ท่านต้องมายกประเทศชาติขึ้นมาเพื่อให้ชาวพุทธตาดำๆ ให้มันรอดพ้นจากการกดขี่ของต่างชาติ แต่คนที่ไม่เห็นประโยชน์ก็ว่าศาสนาลำเอียงๆ เพราะติดตนไง ติดตนว่า อ้าว! ก็พ่อค้ากุฎุมพีเขาทำให้เสียหาย ก็ต้องให้พ่อค้านั้นมากู้ชาติสิ เราชาวไร่ชาวนา เราไม่ได้ทำอะไรเลย เราจะไปกู้ชาติอะไร

แต่บุญกุศลจะเอานะ แต่ความดีจะต้องการนะ

การกระทำอย่างนั้นมันเป็นการกระทำคุณงามความดีของตนเพื่อสร้างอำนาจวาสนาของตนนี่ไง พันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของจิตที่มันได้ตัดแต่งไง ตัดแต่งโดยการทำคุณงามความดีของเรานี่ไง การทำคุณงามความดีของเรา ศีล สมาธิ ปัญญามันเข้าไปตัดแต่งหัวใจของเราไง เราจะตัดแต่งหัวใจของเรามันต้องใช้สติใช้ปัญญาของเราเข้าไปตัดแต่งไง เราตัดแต่งของเราแล้วไม่ต้องไปน้อยเนื้อต่ำใจใดๆ ทั้งสิ้น

หลวงตาท่านสอน ใครจะดีใครจะชั่วมันเรื่องของเขา เราจะทำความดีว่ะ ใครจะดีใครจะชั่ว เราไปแบกรับนะ โอ๋ย! ไอ้นั่นมันชั่ว ไอ้นี่มันดี มันไปกับเขานะ เฮ้ย! แล้วมึงล่ะ แล้วตัวเราเองทำอะไร

อาหารที่เรากิน เรากินให้อิ่มท้องของเราเสียก่อนสิ ไปห่วงคนนู้นยังไม่ได้กิน คนนี้ยังไม่ได้กิน วิ่งโร่ไปหาเขาหมดเลย เราก็หิวไปด้วย

ถ้าเขาได้กิน เขาได้ทำคุณงามความดีของเขาก็ประโยชน์ของเขา ถ้าเขาทำชั่วของเขา เขาทำบาปอกุศลของเขาก็เรื่องของเขา แต่ถ้ามันมีอำนาจวาสนา เราเกิดมาในชาติตระกูลเดียวกัน เราก็แนะนำสั่งสอน ถ้าแนะนำสั่งสอนนะ ถ้าเขาไม่เชื่อไม่ฟังไง

เวลาสัจธรรมๆ นะ การสั่งสอนที่ดีที่สุดคือไม่ต้องสอน ทำให้มันดู หลวงปู่เสาร์ท่านพูดประจำ เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ ท่านขึ้นไปนะโมตัสสะแล้วท่านลงเลย แล้วเวลาเขาถามว่าทำไมหลวงปู่เสาร์ท่านเทศน์น้อยมาก

อ้าว! ทำให้มันดูมันยังไม่ดูเลย แล้วไปสอนมัน มันจะฟังหรือ

ท่านทำให้ดู ทำให้ดูไง การสอนที่ดีที่สุดคือไม่ต้องไปสอนมัน แล้วทำตัวให้ดี ทำตัวของเรา ถ้ามันมีหลักมีเกณฑ์แล้วมันไม่เหลวไหล ถ้ามันเหลวไหลแสดงว่ามันใช้ไม่ได้ ถ้ามันทวนกระแส คนเป็น ปลาเป็น มันว่ายน้ำ ดูแซลมอลมันไปไข่สิ มันต้องขึ้นไปทวนกระแสจากทะเลเข้ามาในกระแสน้ำจืด มันต้องขึ้นไปต้นน้ำที่ใสสะอาด น้ำที่สะอาดบริสุทธิ์เพื่อมันจะวางไข่

ดูสิ ปลาเป็นมันกระโดดนะ ไอ้ปลาตายมันนอนลอยไปนั่นน่ะ มันรอให้นกให้กามันไปจิกกินไง เอาสบายไง ต้องสบาย พระพุทธศาสนาสอนให้ปล่อยวาง ปล่อยวางหมดเลย...ปล่อยวางมันรอนกกระยางมาจิกมันนั่นน่ะ

แต่ของเราปลาเป็นนะ หลบหลีก หลบหลีกเข้าไปที่พุ่ม หลบหลีกเข้าไปสิ่งที่เป็นความปลอดภัย หลบหลีกเวลาฝืนกระแสกลับไป ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ เรามีสติปัญญาของเรา เราไปน้อยใจอะไร ไปน้อยใจใคร จะไปน้อยใจใคร

มันน้อยใจไปหมด อู๋ย! นู่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดี แล้วเราก็เลยไม่ดีไปด้วย

นู่นไม่ดี นี่ไม่ดี ถ้าคนมีสตินะ เราไม่ทำอย่างนั้น

เรามีครูบาอาจารย์นะ เวลาไปวิเวกด้วยกัน ถ้าความชั่ว การทำผิดพลาด ดูเป็นครู แล้วเราไม่ทำอย่างนั้น ดูนะ คนเราไม่ใช่คนตาย คนเรามันมีสมองมันคิดได้ ผิดหรือถูกทุกคนก็รู้หมด แต่เห็นความไม่ดีแล้วชอบ แต่เห็นความดีแล้ว อู้ฮู! ไม่ดี แต่ในปัจจุบันนี้มาฟื้นฟู เห็นไหม

จิตอาสา จิตอาสาเราชื่นชมมาก พอจิตอาสาขึ้นมา เพราะเราคนด้วยกัน เราไว้ใจกันไม่ได้ พอจิตอาสา ทุกคนหวังดี ทุกคนมาช่วยเหลือเจือจานกัน อู๋ย! มากันเต็มเลย ทุกคนต้องการสังคมที่ไว้ใจได้ ต้องการสังคมที่ดีงาม ต้องการการกระทำที่ปลอดภัย

แต่มันไว้ใจใครไม่ได้ ไว้ใจใครไม่ได้ไง แล้วชาวพุทธๆ ไง ศีล ๕ ไง

เวลาฝรั่งมันวิจัยไง มันแปลกใจมากเลย เช้าตักบาตร เย็นตีไก่ เดี๋ยวกินเหล้า เฮ้ย! ศาสนาพุทธสอนอย่างนี้หรือ เวลาศาสนาสอนเรื่องอบายมุข อบายภูมิ ท่านให้ละให้วางทั้งสิ้น แต่ละวางมันไม่ได้ โดยธรรมชาติไง ก็โดยศีล ๕ ไง

ศีล ๕ เห็นไหม ศีล ๕ กามคุณ ๕ สิ่งที่เป็นคุณๆ ในเมื่อเป็นธรรมชาติ เขาบอกเรื่องกามนี่เรื่องธรรมชาติของมนุษย์ ธรรมชาติของมนุษย์ก็ศีล ๕ ไง พอศีล ๘ ขึ้นมา เราจะสูงกว่าเขา เราไปวัดไปวา เราถือพรหมจรรย์ไง เราถือศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ไง มันก็พัฒนาขึ้นเป็นชั้นๆ ขึ้นไปไง

แล้ว “เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เป็นธรรมชาติของมนุษย์” เราฟังแล้วขัดหูมากนะ “ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน”

ชีวิตประจำวันมันมีค่าขนาดนั้นเชียวหรือ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไร้ค่าใช่ไหม เพราะอะไร เพราะเอาตัวตนเป็นใหญ่ไง ถ้าไม่ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ไม่ทำสิ่งใดก็ได้ แล้วมันจะปฏิบัติไม่ได้ไง

ชีวิตประจำวันก็ชีวิตประจำวันสิ ปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติธรรมสิ ทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม ทำงานมันก็เป็นคนที่มีสติมีปัญญา คนที่มีคุณงามความดีในใจมันก็ทำของมันด้วยความรื่นเริงความอาจหาญ แต่คนที่มีทุกข์ในหัวใจทำด้วยความชอกช้ำ ทำด้วยกิเลสมันบีบคั้น

ทำงานก็คือทำงานสิ ทำงานเสร็จแล้วจะภาวนาก็หายใจเข้าพุท หายใจออกโธสิ หายใจเข้านั่นน่ะถึงจะเป็นจริง เพราะอะไร เพราะมันจะเข้าสู่จิตไง การภาวนา จิตตภาวนาๆ คนเราเกิดมามีกายกับใจๆ

เวลาพูดธรรมะพูดปากเปียกปากแฉะ “มีกายกับใจๆ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาเลอเลิศ” แล้วให้กิเลสมันหลอกกิน กิเลสมันก็ปั้นแต่งน่ะ โอ๋ย! ภาวนาเป็นอย่างนี้นะ เป็นอย่างนี้

คำว่า อุปาทาน” เพราะว่าในการประพฤติปฏิบัติน่ะ ในวงกรรมฐาน สัญญา สัญญาสำคัญมาก หลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศนาว่าการนะ เวลาเป็นสิ่งสำคัญขณะจิต ท่านข้ามหมดๆ เพราะอะไร คนที่เป็นเขาฟังอยู่ เพราะมันจะจำไปหากินกัน หากิน มันพูดให้เหมือน ให้พูดแต่มันไม่มีไง พูดให้เหมือน เหมือนกับเครดิต มีเครดิตแต่ไม่มีตัวเงิน

แต่ความเป็นจริงมันมีพร้อมไง ถ้าการประพฤติปฏิบัติเป็นความจริงขึ้นมามันจับต้องของมันได้ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกไง ถ้ามันเป็นจริง มันเป็นจริงโดยการกระทำของเรา

เราศึกษามาแล้ว เรามีสติปัญญาแล้ว เราเข้าใจหมดแล้ว ขาดอย่างเดียวเท่านั้นน่ะ ลงมือทำ ลงมือทำไง

เวลาเด็กขึ้นมา เราจะฝึกฝนให้เป็นคนดี ความฝึกฝนให้เป็นคนดี โดยสภาพแวดล้อม เรื่องสังคมถูกต้องดีงามทั้งสิ้น สิ่งที่ดีงามๆ อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา คนพาลเราไม่คบ เราจะคบแต่บัณฑิต แล้วคนไหนบัณฑิต คนไหนคนพาลล่ะ เดี๋ยวมันก็พลิกจากบัณฑิตเป็นพาล เดี๋ยวพาลเป็นบัณฑิต เพราะมันหน้าไหว้หลังหลอกตลอดเวลา

ฉะนั้น เวลาพระเรา ศีลจะรู้ได้ต้องอยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยกันมา ๑๐ ปี ๒๐ ปีมันเห็นหมด จริตนิสัยรู้หมด มันหน้าไหว้หลังหลอกหรือไม่ มันเป็นจริงหรือไม่ ศีลจะรู้ได้ต่อเมื่ออยู่ด้วยกัน ธรรมะจะรู้ตอนอ้าปากนี่ อ้าปากนี่คนโง่คนฉลาดออกมาหมด

ถ้าคนโง่ๆ จำมา จำมาก็พูดอย่างนั้นน่ะ แล้วพูดแล้วมันเหมือนเทป ซ้ำแล้วซ้ำเล่าสองวันเลิก เพราะอะไร อ้าปากก็รู้ว่าจะพูดอะไรแล้ว

แต่ถ้าเป็นความจริงเป็นปัจจุบันไง ปัจจุบันเหตุการณ์มันเกิดขึ้นสิ่งใด เหตุการณ์เกิดขึ้นสิ่งใด เหตุการณ์นั้นมันควรจะเป็นคติแบบอย่าง มันควรจะให้คนได้แยกถูกแยกผิด เหตุการณ์นั้น ปัจจุบันๆ เวลาถ้าเป็นสัจจะความจริงเขาเอาปัจจุบันนั้น ปัจจุบันที่เกิดขึ้นมา ถ้ามีสติปัญญามันรู้ได้ มันมองออก

นี่ไง เพราะคนเราโดยธรรมชาติถ้าเป็นคนดีมันต้องรู้จักผิดชอบชั่วดี อะไรผิดอะไรถูกมันต้องรู้ได้ ชอบหรือไม่ชอบ แต่นี้มันเป็นกิเลสไง ถ้าชอบใจใช่ ถ้าไม่ชอบใจไม่ใช่

ใช่หรือไม่ใช่นี่มันเป็นอารมณ์เป็นความรู้สึกของเรา ถ้าอารมณ์ความรู้สึกมันก็เทียบเข้ามาในอำนาจวาสนา ถ้าอำนาจวาสนามันละเอียดนะ รับไม่ได้

เวลาหลวงตาท่านไปไหน แล้วเวลาสมัยอยู่กับท่านนะ ท่านไปไหนกลับมา เอาแล้ว ไอ้นั่นเป็นอย่างนั้น ไอ้นั่นเป็นอย่างนั้น ไอ้นั่นเป็นอย่างนั้น

ท่านไปเยี่ยมลูกศิษย์ตามวัดขึ้นมา ท่านบอกเลย วันนี้ไปวัดพระองค์นั้นมา มันกวาดวัดกวาดวามันโดยที่ไม่มีสติปัญญาเลย กวาดจนเป็นคลองไปเลย

คำว่า เป็นคลอง” ก็กวาดออกไปข้างนอกหมดไง ตรงกลางเป็นคลองเลย เฮ้ย! ถนนไม่ใช่คลอง

ท่านบอกว่า ถ้าคนมีสติปัญญามันก็ต้องรู้จักแก้ไข คนมันอยู่ที่ปัญญา แล้วของแค่นี้มึงยังไม่เข้าใจ รู้ไม่ได้ แล้วเอ็งจะไปรู้จักกิเลสเอ็งได้อย่างไร เพราะกิเลส กิเลสมันเป็นคนสั่งให้เอ็งทำไง กิเลสมันมักง่ายไง กิเลสมันคิดว่านี่คือการกระทำก็ทำแบบเถรส่องบาตรไง อ้าว! กวาดถนนก็ต้องกวาดไง ตีตาด ตีตาดก็ต้องตีตาดไง อ้าว! ตีตาดแล้วก็จบไง ขยัน เก่ง

แต่เขาให้ตีตาด ไม่ใช่ตีคลอง นี่มันจะเป็นคลองไปแล้ว

นี่ไง เวลาท่านไปไหนมานะ ไปไหนมาก็แล้วแต่ ไปวัดใดก็แล้วแต่ ตาสับปะรดเห็นหมดล่ะ เพียงแต่ว่าจะพูดหรือไม่พูด ถ้าพูด ทางโลกเรานะ โอ้โฮ! ของเล็กน้อย หยุมหยิม โอ๋ย! ไม่น่าจะ...

หยุมหยิมนั่นน่ะทำให้คนเสีย หยุมหยิมนั่นน่ะจะทำให้จริตนิสัยเสียหาย หยุมหยิมนั่นแหละมันจะไปทางความมักง่าย ความมักง่าย ความประมาท ความไม่เอาไหน มันจะเริ่มเกิดจากตรงนั้นน่ะ

แต่ถ้าเรารักษาของเรา เราดูแลรักษาของเรา เรารักษาของเรา เราพยายามฟื้นสติของเรา เราทำข้อวัตรๆ นี่ไง ทำข้อวัตร ทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม

ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ชีวิตประจำวัน เวลาออกมาแล้วมันหยาบๆ ขึ้นมา เราก็ตั้งสติของเราไว้ นี่มันเป็นเนื้องาน เนื้องานขึ้นมาเพื่อเป็นการบริหารจิตใจไง นั่งสมาธิภาวนามามันกดดันมาแล้ว เวลาออกมาทำข้อวัตรขึ้นมามันผ่อนคลาย ผ่อนคลายให้มันปลอดโปร่งแล้วกลับไปนั่งสมาธิต่อ เวลาไปกวาดไปอะไรไปเห็นเลย เห็นใบไม้ตก ใบไม้หลุดจากขั้ว สติปัญญามันเกิดได้ทั้งนั้นน่ะ ใบไม้หลุดจากขั้ว

คนที่มีปัญญา ดูสิ พระสมัยพุทธกาลจะไปถามปัญหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปถึงฝนมันตกไง ไปรออยู่ใต้ถุนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝนมันตกจนน้ำมันนองหมดเลย แล้วพอฝนมันหยดชายคาลงมา หยดเป็นจุดเป็นต่อม ความคิดไง เกิดดับๆ

ไอ้เกิดดับๆ ไอ้เรื่องทฤษฎีในพระพุทธศาสนานี่มันสุดยอด แล้วเราก็ไปเกิดดับๆ เกิดดับๆ คนอื่นนะ แต่ของกูไม่เกิดดับเพราะกูไม่เห็น กูเห็นแต่มึงเกิดดับ แล้วเวลาเกิดดับๆ ก็ไฟถนนไง เดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์มันคิดหมดแล้ว เวลาแสงมันอ่อนลง ไฟมันก็แปล๊บ ติดเลย เดี๋ยวไฟมันก็ดับ ไปกราบเสาไฟฟ้าเลย พระอรหันต์ เพราะมันเกิดดับ มันไม่มีทุกข์ด้วย ไอ้เราทุกข์เกือบตาย

นี่เวลาพูดปากเปียกปากแฉะ แต่มันไม่เห็นเกิดดับ ไม่เห็นการเกิดดับในตัวมันเอง ไม่เห็นผิดของตัวเราเอง ไม่เห็นการกระทำของตัวเอง ถ้าเราไม่เห็นเอง เราไม่รู้เอง มันจะมีขึ้นมาได้อย่างไร

นี่ไง หิวข้าว เห็นเขาหิวข้าวก็ อู้ฮู! อยากไปช่วยเหลือเขาไปหมด แต่ตัวเองก็หิว เพราะเอ็งไม่มีข้าวในท้อง แต่ถ้ามันมีอยู่แล้วนะ การกิน กินอย่างไรเราก็กินเป็น แล้วจะสอนให้เขากิน สอนให้เขากิน เพราะเราต้องกินก่อน ต้องตักอาหารใส่ปากก่อน ได้เคี้ยวได้กลืน เอ็งได้เคี้ยวได้กลืนอย่างนี้มันถึงว่าเป็นธรรมๆ

นี่เราพูดถึงคนที่ปฏิบัตินะ นี่พูดถึงว่าเราประพฤติปฏิบัติด้วยจริตนิสัย ถ้าฉลาดแล้วเราคัดเราเลือก เราฉลาดเพื่อเรา แล้วเราจะอยู่ได้เพราะสังคมร่มเย็นเป็นสุข ฉลาดแล้ว เราเพื่อเราแล้วเราก็เพื่อสังคม เพื่อคนรอบข้าง แล้วถ้าคนรอบข้างแล้ว เสร็จแล้วเราจะออกวิเวก เราจะออกไปในที่สงัด เราก็อยู่คนเดียวที่โคนต้นไม้ ในห้องพระ ในที่ไหนของเรา มันจะพัฒนาขึ้น จิตใจของเราน่ะ

ไม่ใช่เราจะจำเจซ้ำซากอยู่อย่างนั้น มันมีพัฒนาการของมันนะหัวใจนี่ ถ้ามันไม่ศรัทธาเลยมันก็ไม่เชื่อ พอศรัทธา อู๋ย! ชื่นใจมาก พอทำบุญคุ้นเคยไป อ้าว! จืดชืด เห็นไหม มันมีพัฒนาการของมัน แล้วพอฝึกหัดภาวนา โอ้โฮ! เกือบตาย โอ้โฮ! นึกว่าภาวนาแล้วมันจะสุดยอด มาตากแดดจนเหงื่อไหลไคลย้อย ไม่ได้อะไรเลย ไม่ได้อะไรเลย

อ้าว! เอ็งทำของเอ็งให้ดีสิ เวลาจิตสงบ โอ้โฮ! ความมหัศจรรย์เกิดแล้ว เราทำได้ ไม่ต้องให้ใครมาหลอก หัวใจของเรา ความรู้สึกของเราจะต้องให้ใครมาหลอกลวง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายืนยันมาแล้ว ๒,๐๐๐ กว่าปี เราไปกราบพระธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมสารีริกธาตุ กราบพระธาตุครูบาอาจารย์ของเรา กระดูกของเรา

ลองฝึกดูสิ แล้วให้มันเป็นจริงขึ้นมา แล้วเราจะรู้เองเลยว่าไม่ต้องไปกราบที่ไหน กระดูกกูก็มี กระดุกในร่างกายกูนี่ แล้วกูจะทำของกูเอง แล้วมันจะเกิดขึ้นมา มันมหัศจรรย์ขนาดนั้นนะ นี่พูดถึงพระพุทธศาสนามหัศจรรย์จริงๆ แต่ต้องลงมือทำ

ไม่ลงมือทำก็คือไม่ได้กิน ฟังแต่เขาเล่าว่า ฟังแต่เขาบอก แล้วให้เขาจูงไปด้วย หัวใจไว้กลางหัวอก ไม่ต้องให้ใครมาจูง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงที่สุด ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้จำเพาะตน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่อาศัยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาศัยครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้ทาง เอวัง